การใช้ MACD เพื่อดูโมเมนตัมและแนวโน้มของราคาหุ้น
เราใช้ MACD ในการดูเทรนด์และโมเมนตัมของหุ้นโดยดูว่าราคาที่ขึ้นหรือลงนั้นมีกำลังแค่ไหน รวมทั้งดูสัญญาณเตือนให้ระวังว่าแนวโน้มของเทรนด์ที่เกิดขึ้นนั้นอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ในไม่ช้า บทความนี้จะแสดงวิธีการใช้และข้อจำกัดของ MACD
MACD คืออะไร?
MACD ย่อมาจาก Moving Average Convergence/Divergence ประกอบไปด้วยเส้น MACD และเส้น Signal Line โดยเส้น MACD จะมีวิธีคำนวนโดยการนำเส้นค่าเฉลี่ย EMA 12 วัน มาลบกับ 26 วัน และเส้น Signal Line เราจะใช้เส้นค่าเฉลี่ย EMA 9 วันของ MACD (ใครอยากรู้วิธีคำนวนอย่างละเอียดลอง search google ดูมีอธิบายหลายเว็บ) ในบทความนี้จะเน้นในส่วนของวิธีการใช้งาน เรามาดูรูปตัวอย่างกัน
จากรูปเส้นสีขาวคือเส้น MACD ส่วนเส้นสีฟ้าคือเส้น Signal วิธีดูสัญญาซื้อขายที่นิยมกันก็คือให้ดูการตัดกันระหว่างเส้น MACD กับเส้น Signal ถ้าเส้น MACD ตัดเส้น Signal ลงมาจะถือเป็นสัญญาณขาย แต่ถ้าเส้น MACD ตัดเส้น Signal ขึ้นไปจะเป็นสัญญาณซื้อ (ซึ่งการดูวิธีนี้อาจจะเหมาะกับช่วงที่หุ้นมีเทรนขึ้นหรือลงชัดเจนมากกว่า เพราะถ้าตอนตลาดเป็น sideway เส้นอาจจะตัดขึ้นหรือลงบ่อยเกินไป) และยังมีเส้นที่ต้องดูอีกเส้นเรียกว่า Center Line (ในรูปข้างบนคือเส้นประ) ซึ่งจะมีค่าเป็น 0 โดยถ้าเส้น MACD มีค่าเป็นบวก (อยู่เหนือ Center Line) หมายความว่าหุ้นอาจมีแนวโน้มที่จะขึ้นต่อ แต่ถ้า MACD มีค่าเป็นลบ (อยู่ใต้ Center Line) ก็แสดงว่าหุ้นอาจมีแนวโน้มที่จะยังลงต่อ ทั้งนี้อาจจะต้องดูควบคู่ไปกับปัจจัยพื้นฐานในช่วงนั้นด้วยเพื่อให้แน่ใจมากยิ่งขึ้น เพราะเราไม่อาจใช้ MACD เพียงอย่างเดียวในการตัดสินใจซื้อหรือขายได้
นอกจากนี้ยังเราสามารถดูได้ว่าราคาหุ้น (หรือดัชนี) เมื่อเทียบกับตัว MACD แล้ว มันเคลื่อนไหวสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่ ถ้า MACD กับราคาหุ้นเคลื่อนไหวในทิศทางที่ไม่สอดคล้องกันเราจะเรียกว่า MACD เกิด Divergence ลองดูรูปต่อไป
ภาพข้างบนนี้แสดงการเคลื่อนไหวของดัชนี SET Index ช่วงปี 57 สังเกตว่าดัชนีวิ่งมาทำจุดสูงสุดราวๆเดือนกันยายนปี 57 แต่ว่า MACD กลับลดลงมาเรื่อยๆ และไม่สามารถสร้างยอดที่สูงกว่าเดิมได้ ถ้าเห็นแบบนี้นักลงทุนควรจะต้อง “ระวัง” ไว้ก่อนและอย่าทุ่มสุดตัว เพราะว่าดัชนีอาจจะไม่มีกำลังพอที่จะขึ้นสูงกว่านี้ได้มากนักเนื่องจาก MACD แสดง momentum ที่ลดลงเรื่อยๆ (เราอาจจะต้องเช็คปัจจัยพื้นฐานในช่วงนั้นประกอบด้วยด้วยว่าหุ้นแพงมากหรือยัง ค่า P/E ของตลาดเป็นเช่นไร) หลังจากนั้นดัชนีมีการปรับฐานย่อยๆช่วงต้นเดือนตุลาคม และพยายามประคองตัวขึ้นไปได้อีกซักพักจนขึ้นไปทดสอบบริเวณแนวต้านเดิมแต่ไม่ผ่านจนในที่สุดก็ลงมาปรับฐานอย่างรุนแรงช่วงราวๆเดือนธันวาคมปี 57 สังเกตว่ายอดของ MACD (คล้ายๆภูเขา) ตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายนเป็นต้นมาจะลดลงเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคมในขณะที่กราฟแท่งเทียนของ SET ยังไม่ทำ lower low จากรูปข้างบนนี้ถ้าเราสังเกตดีๆ จะเห็นสัญญาณหลายอย่างที่เตือนให้ต้องระวังอย่างมากในช่วงต้นเดือนธันวาคม ตั้งแต่การที่ดัชนีวิ่งไปใกล้ๆแนวต้านเดิมซึ่งอาจต้องเผชิญกับแรงขาย โมเมนตัมของ MACD ยังลดลงเรื่อยๆ เส้น MACD ตัดเส้น Singal ลงไป และค่า P/E ของ SET ที่ไม่ได้ถูก (ตอนนั้น P/E ของ SET อยู่ที่ราวๆ 18 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย)
สรุปข้อจำกัดและข้อแนะนำอื่นๆเกี่ยวกับ MACD
- ควรใช้ MACD ร่วมกับ indicator ตัวอื่นๆ หรือใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน ไม่ควรใช้ MACD อย่างเดียวในการตัดสินใจซื้อขาย
- การดูสัญญาณ Divergence ของ MACD สามารถทำได้ทั้งขาขึ้นและขาลง ถ้าราคาหุ้นกับ momentum ของ MACD เคลื่อนไหวไม่สอดคล้องกัน ให้ระวังว่าเทรนด์อาจจะมีการเปลี่ยนแปลง หรืออาจมีปัจจัยที่กดดันเทรนด์ชั่วคราว
- ถ้าตลาดเป็น sideway เส้น MACD อาจจะตัดเส้น Signal ขึ้นลงบ่อยๆ หรือเส้นอาจจะซ้อนกันไปมา ทำให้การใช้ MACD ไม่ได้ผล